ALTV All Around
ALTV News
บทความอื่นจาก Thai PBS
ALTV All Around
ALTV News
บทความ Thai PBS
"ประวัติศาสตร์" สมรรถนะอนาคตเด็กไทย
แชร์
ฟัง
ชอบ
"ประวัติศาสตร์" สมรรถนะอนาคตเด็กไทย
13 ธ.ค. 68 • 12.48 น. | 89 Views
ขนาดอักษร : กลาง
ALTV CI

กลางเดือนพฤศจิกายน 2568 กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การกำกับของ ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้ออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง “การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ”

ชวนอ่าน : ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง “การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาและการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ”

 

ศ.ดร.นฤมล ระบุว่า ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เดินหน้าขับเคลื่อนฯ ตามประกาศนี้ พร้อมย้ำว่า ครูจะมีแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล ที่ยืดหยุ่น คล่องตัวมากขึ้น ส่วนนักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้อย่างหลากหลายรูปแบบ และได้รับการวัดและประเมินผลที่มีความสอดคล้องกับความถนัดและความสนใจอย่างหลากหลาย ขณะที่โรงเรียนจะมีแนวปฏิบัติในการส่งเสริมสนับสนุนให้ครูจัดการเรียนรู้ โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนเชิงนโยบายของโรงเรียน

ที่ผ่านมา “วิชาประวัติศาสตร์” มักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น เมื่อสังคมถกเถียงกันเรื่อง อัตลักษณ์ของชาติ (National Identity), ความทรงจำร่วม (Collective Memory), และความชอบธรรม (Legitimacy) ของเหตุการณ์, บุคคล, หรือโครงสร้างทางการเมืองในปัจจุบัน

แล้ว "ประวัติศาสตร์ที่ควรสอน" เป็นอย่างไร? หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน ควรเน้นย้ำเรื่องใด? และละเลยเรื่องใด? เพื่อสร้างพลเมืองที่มีความเข้าใจในชาติแบบใด?

และประวัติศาสตร์แบบไหน? ที่จะสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ ปี 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการยุคปัจจุบัน ผลักดันมาตั้งแต่เทอมแรกของปีการศึกษานี้ (2568) และยังจะขยายไปต่อถึงระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ป.4-6)

ALTV ชวนหาคำตอบเรื่องนี้กับ ครูของนักประวัติศาสตร์ รศ.ดร.ชาติชาย มุกสง หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และ นักการศึกษาที่คลุกวงในกับกระบวนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สรรชัย หนองตรุด รองผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ จากวงสนทนา Learning Talk ชวนพูดคุยโดย สันติพงษ์ ช้างเผือก ผู้ชำนาญการอาวุโส ศูนย์สื่อสาธารณะเพื่อเด็กและการเรียนรู้ ไทยพีบีเอส

 

ประวัติศาสตร์ เชื่อมอดีต ปัจจุบัน สู่อนาคต

“ผมคิดว่าวิชาประวัติศาสตร์สำคัญมาตลอด เพราะมันเป็นเรื่องเล่าที่ใช้สำหรับ การสร้างชาติ ที่สำคัญของทุกชาติในโลกนี้ มาถึงศตวรรษที่ 21 ก็เป็นประวัติศาสตร์ของการทำมาค้าขาย การเข้าใจผู้คนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลาย และในยุคปัจจุบัน ก็ยิ่งสำคัญ เพราะใช้ทำมาหากินได้”

อาจารย์ชาติชาย ยืนยันว่า เพราะความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้วิชานี้ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เรียนเสมอในยุคปัจจุบัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและใกล้ตัวคือ นิสิตที่สนใจเรียนภาควิชานี้ ยังมีจำนวนสูง สวนทางกับตัวเลขผู้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่ลดน้อยลง เหตุผลสำคัญคือ ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญของการเป็น อินฟลูอินเซอร์ หรือ Content Creator 

“คนที่มีความรู้ประวัติศาสตร์ สามารถนำไปใช้สร้าง content ที่ใช้ประโยชน์ได้เลย ไม่ว่าด้านอาหาร แฟชั่น หรือการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์มันมีอยู่ในทุกเรื่อง เป็น Story Telling ที่ลึกๆ แล้ว มนุษย์ทุกคนอยากรู้ความเป็นมาตัวเอง”

 เช่นเดียวกับ สรรชัย ที่มองว่า ประวัติศาสตร์ สำคัญเพราะเป็น เครื่องมือเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่ว่ารัฐจะเดินไปทางไหน ก็ต้องยกเหตุผลในประวัติศาสตร์มาอธิบาย เพราะก่อนเดินไปข้างหน้า ก็ต้องรู้ก่อนว่าเรามาจากไหน ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ แต่ต้องรู้จริง

 นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ ยังช่วยให้เรารู้จัก “คนอื่น” รู้ว่าประเทศเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด เรายังมีมิตรประเทศ ทั้งที่เป็นเพื่อนบ้านกัน และประเทศที่แม้ไม่ติดต่อทางอาณาเขต แต่ก็ยังมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันมายาวนาน เช่นหลายประเทศในยุโรป ดังนั้น เด็กทุกคน ไม่ได้เป็นแค่ คนไทย เท่านั้น แต่เขายังเป็น พลเมืองโลก ด้วย และ พลเมืองโลก เหล่านี้ก็เชื่อมโยงเติบโตด้วยกันมาตลอดประวัติศาสตร์โลก

 “เปิดโลกของเด็กให้กว้างขึ้น ให้เห็นว่า ไม่ได้มีแค่ประเทศเราเท่านั้น การที่ประเทศไทยเติบโตขึ้นมาได้ เพราะเรามีมิตรประเทศเพื่อนบ้าน ต้องชี้ให้เด็กเห็นว่า โลกมีการเปลี่ยนแปลง และมนุษย์ทุกคน ก็มีความเชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นสังคมที่เติบโตขึ้นมาได้”

 

เป้าหมายประวัติศาสตร์ ต้องสร้างระบบคิดเชิงวิพากษ์

แม้ ประวัติศาสตร์ จะมีความสำคัญ ในฐานะฐานความรู้ของสังคม แต่ที่ผ่านมา ก็มีอุปสรรคที่ทำให้ความรู้นี้ ไม่เป็นจริง อาจารย์ชาติชาย บอกว่า เป็นเพราะการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เกิดการเรียนรู้ที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมที่จะเรียนรู้ สาเหตุสำคัญเป็นเพราะ การเรียนรู้ที่ผ่านมา มักให้ความสำคัญกับวิธีการและเนื้อหาที่เรียนรู้ มากกว่าวิธีคิด

 “ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของวิธีคิด เป้าหมายของประวัติศาสตร์ คือการสร้าง พลเมืองที่มี Critical Thinking หรือการคิดเชิงวิพากษ์ ซึ่งไม่แน่ใจว่าสังคมการเมืองของเรา เราต้องการคนแบบนี้หรือไม่”

 อาจารย์ยกตัวอย่าง Soft Power ของเกาหลีใต้ บอกว่า สิ่งแรกที่เกาหลีใต้สร้างคือ สร้างอุดมการณ์ความเป็นประชาธิปไตย ให้เป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งประเทศ จากนั้น ประวัติศาสตร์ ที่มุ่งความคิดเชิงวิพากษ์ ก็จะช่วยให้เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ออกมาได้ และกลายเป็น Soft Power ในที่สุด

 “Content ประวัติศาสตร์ ควรที่จะเอาไปสร้างสรรค์ต่อได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่สังคมไทยยังกล้าๆ กลัวๆ หรือกลัวมากกว่ากล้าที่จะเปิดทั้งหมด ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการที่จะคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรายังมีหลายอย่างที่ห้ามเด็ก ไม่ทำให้การเรียนประวัติศาสตร์พาเขาเปิดหูเปิดตาสู่โลก สุดท้ายเขาก็จะไม่สนุกหรือเบื่อ เพราะต้องท่องจำแต่เนื้อหา ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับตัวเอง และไม่สามารถที่จะเอาไปทำมาหากิน หรือว่าเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้”

สอดคล้องกับ สรรชัย ที่พบว่า หลายประเทศในอาเซียน ที่เขาได้มีโอกาสเดินทางไป ก็เห็นทิศทางชัดเจนว่า ประเทศเหล่านั้นวางเป้าหมายพลเมืองของเขาชัดเจน แตกต่างกับประเทศไทย ที่ยังไม่เห็น

 

“เราไปเวียดนาม เห็นชัดเลยว่า พลเมืองเวียดนามเขาจะสร้างเป็นอย่างงี้ เป้าหมายหรือทิศทางเขาจะไปซ้ายหรือขวา สิงคโปร์ ก็วางยาวชัดเจนว่าเขาจะไปยังไง แม้กระทั่งไป พม่า เราก็ยังเห็นทิศทางว่า หลังจากที่การเมืองภายในเขาเริ่มคลี่คลาย ทิศทางหรือแววตาของคนรุ่นใหม่ เป้าหมายในชีวิตเขาจะเป็นอะไร เขาจะสร้างชาติยังไง มันเห็นภาพชัด แต่บ้านเรามันเบลอไปหมด”

 แต่ สรรชัย มองว่า เมื่อพิจารณาที่ประกาศกระทรวงฯ ที่เพิ่งออกมาล่าสุดนั้น ยังพอเห็นหนทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่อยากเห็นได้ เพราะมีหลายข้อที่เปิดพื้นที่ในเรื่องนี้เอาไว้

 “ประกาศครั้งนี้ของกระทรวงฯ อาจจะเป็นหมุดหมายที่ดี เพราะถ้ามองไปที่แนวคิดและวิธีการ ก็มีเรื่องของการเสริมทักษะการเรียนรู้ในโลกอนาคต การใช้ AI เป็นเครื่องมือสืบค้น การเปิดพื้นที่เรียนรู้ให้กว้างขึ้น และ ครู สามารถออกแบบ Content หรือว่ากระบวนการเรียนรู้ได้เอง ที่สำคัญคือ ไม่ได้บอกว่า ประวัติศาสตร์ของใครถูกหรือผิด ขาวหรือดำ แต่ตั้งโจทย์ว่า ว่าเราจะอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ได้อย่างไร”

คำแนะนำครู สอนประวัติศาสตร์อย่างไร พาเด็กสู่สมรรถนะอนาคต

แม้ประกาศกระทรวงฯ เปิดพื้นที่ให้ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้เองได้ แต่อาจไม่ง่ายสำหรับครูหลายคน อาจารย์ชาติชาย มีข้อเสนอว่า วิธีง่ายที่สุดคือ การออกแบบให้ประวัติศาสตร์เข้ามาสัมพันธ์ในชีวิตในระดับครอบครัว แล้วเชื่อมออกไปสู่โลก

“เริ่มจากลองให้เล่าเรื่องคนในครอบครัว จากเรื่องใกล้ตัว เช่น คุณตาทำนาแล้วส่งข้าวไปทางรถไฟเข้าไปขายที่กรุงเทพ ทำให้เด็กเห็นความเชื่อมโยงว่า ข้าวจากนาที่คุณตาปลูก มันถูกเอาไปเสริฟบนจานข้าวที่กรุงเทพ มันไม่ได้อยู่แค่บนจานข้าวในบ้านคุณตา หรือในตลาดชุมชนใกล้บ้าน เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ มันเชื่อมเรากับโลกภายนอก ซึ่งเด็กๆ จะสนุกกับการเรียนรู้แบบนี้”

สิ่งสำคัญคือ ต้องสอนให้เด็กๆ ตั้งคำถามเป็น เริ่มจากคำถามง่ายๆ ใกล้ตัว ให้เด็กลองนำเสนอวิธีการสัมภาษณ์คุณตา ความรู้หลายเรื่องครูก็ต้องคอยอัพเดทข้อมูล เรียนรู้และฝึกฝนไปพร้อมกับเด็ก อาจารย์ชาติชาย ย้ำว่า กระบวนการเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เด็กสนุกและไม่เบื่อ

ส่วน สรรชัย มองว่า อีกแนวทางคือ อาจเปลี่ยนการใช้คำที่จะนำสู่การเรียนรู้ เช่น เปลี่ยนไปใช้คำว่า สมรรถนะ แทนคำว่า ประวัติศาสตร์ เพราะถ้ายังใช้คำเดิม เราก็จะติดกรอบการเรียนรู้แบบเดิม แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่ คิดว่าเราอยากให้เด็กได้ทักษะสมรรถนะอะไร อยากให้เด็กมีประสบการณ์ด้านไหน ได้ลองทำอะไร แล้วที่สำคัญคือ ปลายทางอยากให้เด็กเราเป็นอย่างไร ก็เอากระบวนการนั้นเข้าไปใส่ โดยประวัติศาสตร์ก็เป็นกระบวนการหนึ่งในการเรียนรู้นั้น

“เรียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพื่อสร้างนักประวัติศาสตร์คนใหม่ แต่เป้าหมายคือเพื่อให้เด็กเกิดทักษะหลายๆ อย่างที่เขาสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การฝึกตั้งคำถามต่อสิ่งที่เป็นอยู่ การค้นหาข้อมูล และมองหาคำตอบใหม่ ความรู้ใหม่”

ถ้าการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในห้องเรียน เดินตามแนวทางนี้ เราไม่ได้เพียงแค่ผลิตเด็กที่เรียนจบการศึกษาเท่านั้น แต่ยังพาเขาไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีทักษะที่พาเขาอยู่รอดได้ ในโลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
ALTV CI
ข่าว ALTV
ข่าว ALTV
ALTV News
ผู้เขียนบทความ
avatar
กองบรรณาธิการ ALTV
แชร์
ฟัง
ชอบ
ติดตามเรา