

ถ้าคุณเป็น “ครู” และเลือกได้ จะเลือกกลับไปสอนหนังสือในโรงเรียนที่บ้านเกิดไหม?
แน่นอนว่า คำตอบของแต่ละคนย่อมแตกต่าง ตามบริบท เงื่อนไข และความรู้สึกในใจ เพราะแม้ปัจจุบัน ความเจริญและเทคโนโลยีเข้าไปถึงพื้นที่ห่างไกล แต่การได้อยู่โรงเรียนในเมืองที่มีความพร้อมในทุกด้าน อาจเป็นตัวเลือกแรกของครูหลายคน แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีใครเลือก “ที่ทำงานใกล้บ้าน” เลย
"ครูเพื่อเด็ก โรงเรียนเล็ก"
ชม Learning Talk ซีรีส์ "ครูเพื่อเด็ก โรงเรียนเล็ก"
EP.1 - กลับไปเป็นครู ที่บ้านเกิด
EP.2 - เชื่อมห้องเรียน - บ้าน พัฒนาคน สู่ชุมชน
EP.4 - ทำทุกห้องเรียน ให้มีครู
“ครูเจน” ปริมล โปริสา ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านดงสวนพัฒนา จ.กาฬสินธุ์, “ครูโย” ชยพล โคโรจวง ครูผู้ช่วย โรงเรียนภูขัดรวมไทยพัฒนา จ.พิษณุโลก และ “ครูชาแมน” ฤทธิ์ชัย อำพรรณแดง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านเขามัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 3 ครูรุ่นใหม่จาก โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ที่ได้รับโอกาสและการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นทุนการศึกษาจนเรียนจบและได้บรรจุเป็นครู ที่แม้ด้วยเงื่อนไขของโครงการจะระบุให้ครูที่ได้รับการสนับสนุน ต้องกลับไปสอนที่บ้านเกิด แต่พวกเขามีเหตุผลมากกว่านั้น
แม้จะมีนักเรียนไม่น้อยราว 400 คน และไม่ได้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ขาดแคลนอย่างในภาพจำของคนทั่วไป แต่สำหรับ “ครูเจน” ปริมล โปริสา ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านดงสวนพัฒนา จ.กาฬสินธุ์ ก็ยังรู้สึกว่า โรงเรียนของเธอก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบและยังมีหลายปัญหาที่เธออยากกลับไปช่วยแก้ โดยเฉพาะการสร้างโอกาสในการพัฒนาให้เด็กๆ ในชุมชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และได้รับโอกาสเหมือนอย่างที่เธอได้รับ
ครูเจน เล่าว่า ปัญหาหนึ่งที่พบในชั้นเรียนอนุบาลของเธอคือ มีเด็กหลายคนเข้าข่ายพัฒนาการช้า หรือเด็กพิเศษ และเมื่อได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านนักเรียน เธอพบว่า ปัจจัยสำคัญมาจากพื้นฐานครอบครัว พ่อแม่ต้องออกไปทำงานหาเงิน ไม่มีเวลาเลี้ยงดูเต็มที่ ก็จะให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแม้จะช่วยแก้ปัญหาพ่อแม่ให้มีเวลาทำงาน แต่ไม่ดีต่อการเรียนรู้ของเด็ก
“เด็กพิเศษเยอะขึ้น เนื่องจากอยู่บ้านก็จะเล่นโทรศัพท์หรือดูทีวี ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สื่อสารทางเดียว ไม่มีคนแนะนำ เราอาจจะมองว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การศึกษามันก้าวหน้า แต่ถ้าเกิดเราปล่อยให้เด็กอยู่กับสิ่งเหล่านี้คนเดียว ไม่มีคนแนะนำ จะทำให้เด็กเกิดภาวะพัฒนาการที่ช้าได้”
เมื่อมีเด็กพิเศษในห้องเรียน ครูก็ต้องหาวิธีจัดการเรียนรู้แบบพิเศษไปด้วย เพื่อให้ทั้งเด็กปกติและเด็กพิเศษเรียนรู้ไปด้วยกันได้ ครูเจนย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ครูต้องเป็นแบบอย่างให้เขา และยังต้องคอยสังเกตใส่ใจเขามากกว่าเด็กปกติ ไม่บังคับให้เขาทำเหมือนเพื่อน ปล่อยให้ใช้ความสามารถของตัวเองเต็มที่ แล้วท้ายที่สุด เขาจะจดจำได้ด้วยตนเองว่า ต้องทำอย่างไร
“เพราะว่าเด็กเหล่านี้จะมีความสามารถพิเศษ คือจดจำเก่ง เรียนรู้เก่ง ต่อให้ไม่ได้ฝึกเขียนอ่านเหมือนเด็กทั่วไป แต่เขาจำได้ว่ามาถึงโรงเรียนต้องพูดว่า สวัสดีครับคุณครู ต้องไปถอดรองเท้า เข้าห้องน้ำ เมื่อเขาจะมาบอกว่าเขาอยากไปทำแบบนี้ เขาก็จะพูดในรูปแบบของเขา เราเพียงต้องใช้ใจฟัง”
ปัญหาจากห้องเรียนที่เชื่อมกับพื้นฐานครอบครัว อาจเข้าใจยากหากเธอไม่ได้เป็นคนในชุมชนนี้ แต่เพราะครูเจนเกิดและเติบโตที่นี่ ทำให้เธอเข้าใจปัญหา และรู้ว่าต้องเริ่มแก้จากจุดไหน
“รู้สึกว่ามันเป็นถิ่นฐานของเรา เราจะรู้ว่าต้องแก้ไขตรงไหน แต่ถ้าเกิดไปอยู่โรงเรียนภายนอก เราจะไม่รู้ แล้วเราก็จะทำแค่หน้าที่ครูผู้สอน แต่พอได้มาอยู่ในถิ่นของเรา เรารู้สึกว่าเราอยากจะทำมันให้ดีกว่าเดิม ไม่ได้มองแค่มุมในห้องเรียน แต่มองไปถึงสภาพแวดล้อมในชุมชน ไม่มองแค่จุดเล็กๆ แต่จะมองในมุมที่กว้างว่า เราอยากจะพัฒนามันให้ดีกว่าเดิม ทั้งความเป็นอยู่ ด้านการศึกษา สภาพแวดล้อมภายในชุมชน”
และด้วยความเป็นครู ทำให้เธอวางเป้าหมายไว้ที่เด็ก เธอย้ำว่า ถ้าอยากจะเป็นครูจริงๆ ก็จะไม่มองหาโอกาสที่จะทำให้ตัวเองสบาย แต่จะมองว่า ทำยังไงให้เด็กๆ ในชุมชนของเราเติบโตขึ้นมาอย่างมีศักยภาพที่ดี แล้วก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนเราที่ได้รับโอกาส
“ครูชาแมน” ฤทธิ์ชัย อำพรรณแดง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านเขามัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกคนที่ได้กลับไปเป็นครูที่บ้านเกิด พิเศษกว่านั้นคือ เขาได้กลับไปสอนในโรงเรียนเดิมของตัวเองในวัยเด็กด้วย ครูชาแมนยืนยันว่า การได้กลับมาที่นี่ คือสิ่งที่เขาฝันมาตลอด
“ตอนเด็กได้เป็นสภานักเรียน ช่วงนั้นต้องไปช่วยครูดูน้องอนุบาล เพราะครูต้องไปอบรมที่เขต ตั้งแต่ตอนนั้นก็อยากที่จะเป็นครู มุ่งมั่นว่าฉันจะต้องทำอาชีพครูไม่วอกแวกไปอาชีพอื่น พอโตก็ตั้งใจเรียนสายวิทย์คณิต แล้วพอมีโอกาสได้บรรจุที่บ้าน อันนี้คือสิ่งหนึ่งที่ภาคภูมิใจ ก็มุ่งมั่นพัฒนาหมู่บ้านของตัวเอง ให้เทียบเท่ากับโรงเรียนในเมืองให้ได้ ถึงแม้จะเป็นโรงเรียนชายขอบก็ตาม อันนี้คือสิ่งที่เราฝันเอาไว้”
แต่ครูชาแมนย้ำว่า ในทางกลับกัน เขาก็เข้าใจครูที่มาบรรจุเพื่อเอาตำแหน่งที่บ้านเรา ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นคนท้องถิ่น ต้องคิดว่า จะทำยังไงให้ครูที่มาบรรจุ ได้ช่วยกันพัฒนาโรงเรียนและท้องถิ่นของเรา
“ใครจะรักบ้านเราเท่ากับตัวเรา เราอยากเป็นครูที่อยู่ที่นั่น เราจะพัฒนาและเต็มที่กับมัน แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน เราไม่ได้ว่าครูที่มาบรรจุเพื่อที่จะเอาเลขตำแหน่งที่บ้านเรา เราคนที่อยู่ เราเป็นคนท้องถิ่น คนพื้นที่ เราจะทำยังไง เมื่อเขามาอยู่แล้ว เขาอยากพัฒนาหมู่บ้านไปกับเรา ผมมองไปตรงนั้นมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม “ปัญหาภาระงานครู” ก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ครูชาแมนมองว่า ฝ่ายนโยบายที่เกี่ยวข้องต้องรีบแก้ไข เพราะทำให้ครูที่อยากพัฒนาการศึกษาบ้านเกิด ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ซึ่งแม้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนล่าสุด (นฤมล ภิญโญสินวัฒน์) จะกำหนดให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข แต่ก็ไม่สามารถทำได้จริงในหลายกรณี
“เราอาจจะดูว่าลดภาระงานจริงๆ แต่ว่ายังมีเงื่อนไขบางอย่าง ขึ้นอยู่กับสถานที่นั้นๆ ในการทำเอกสารส่งมา ไม่ได้บอกตัดขาดมาเลยว่าไม่ให้ทำ ให้ทำหรือไม่ให้ทำ มันก็เลยเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ครูไม่สามารถทำงานอย่างที่ตั้งใจได้”
ความรู้สึกเศร้าในวัยเด็ก ที่คุณครูที่เรารักและผูกพันต้องย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น กลายเป็นแรงผลักดันให้ “ครูโย” ชยพล โคโรจวง ครูผู้ช่วย โรงเรียนภูขัดรวมไทยพัฒนา จ.พิษณุโลก ตั้งใจมั่นว่า เมื่อได้เป็นครู ก็จะเลือกกลับไปเป็นครูที่บ้านเกิด เพื่อไม่ต้องย้ายไปที่อื่น และทำให้ลูกศิษย์ของตัวเองเศร้า เหมือนกับตนในวัยเด็ก
“เรามีความรู้สึกหนึ่งว่า เมื่อครูที่เรารัก แล้วจำเป็นต้องย้ายด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แม่ไม่สบาย พ่อแม่ป่วย ต้องกลับไปดูแลครอบครัว สุดท้ายก็ต้องย้ายกลับบ้าน ผมก็เลยมานั่งคิดกับตัวเองว่า ทำไมเมื่อเรามีโอกาสเลือก เราทำไมถึงจะไม่เลือกที่บ้านของเรา”
เมื่อได้กลับไปเป็นครูที่บ้านเกิดตามความฝัน ครูโย ใช้ความเป็นคนท้องถิ่น เป็นตัวช่วยจัดการปัญหาในห้องเรียน วิธีการหนึ่งคือ การเข้าชุมชนไปหาผู้ปกครอง เมื่อเริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกศิษย์อาจมีปัญหาในการเรียน
“อย่างห้อง ป. 2 ผม มีเด็กคนหนึ่งอ่านหนังสือเก่งมาก คำไหนที่อ่านไม่ได้ เขาไม่ต้องรอให้เราบอก เขาสะกดเอง แต่มีวันนึงเค้านอนในคาบเรียน ผมก็เอะใจ ก็เลยเรียกมาถาม เขาบอกว่าหนูง่วง ผมไปที่บ้านเลยครับ เรารู้เหตุผลแน่นอน ไม่เล่นกับพี่เล่นกับน้อง หรือทำอะไรสักอย่างช่วยพ่อแม่ เค้าก็จะเล่นมือถือ”
จากผลลัพธ์นี้ ครูโย มองว่า ถ้ามีครูที่สามารถเลือกกลับไปสอนที่บ้านเกิดได้มากขึ้นอย่าง โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ก็จะยิ่งช่วยแก้ปัญหาการศึกษาให้แก่เด็กชายขอบได้มากขึ้นตามไปด้วย
“เรามีหน้าที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การที่มีพวกเรา มันทำให้การศึกษาเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราจะต้องเต็มที่และหนักกว่าคนอื่น เพื่อที่จะให้เห็นว่า เราทำมันได้จริงๆ แล้วเราเต็มใจที่ทุ่มเทพัฒนาการศึกษาตรงนี้”



