"ข้าว" วัตถุดิบหลักในมื้ออาหารของคนเอเชีย แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า ข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวัน มีความพิเศษอีกมากมายที่คาดไม่ถึง หนึ่งในนั้นคือ Rice paddy art หรือ "ศิลปะในนาข้าว" ที่เป็นมากกว่าอาหารในจาน ALTV จึงขอพาผู้อ่านไปพบความพิเศษนี้ไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อพูดถึงข้าวแล้ว ประเทศไทยเคยเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับต้น ๆ ของโลก แม้ว่าตอนนี้เราจะเสียแชมป์ไปให้กับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนามและอินเดีย ที่เขาพัฒนาปรับปรุงสายพันธ์ุข้าวใหม่ ๆ จนเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น "ข้าวบาสมาติพูซ่า" ของอินเดีย ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงแถมปลูกได้ตลอดปี ประเทศไทยเองแม้จะตามหลังอยู่ แต่ก็เริ่มผุดข้าวสายพันธุ์ใหม่กว่า 50 สายพันธุ์ ปรากฏตัวครั้งแรกใน "งานเทศกาลข้าวใหม่ ประจำปี 2565 " ที่ผ่านมา ช่วยให้เราเห็นความหวังของข้าวไทยในอนาคต
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ดินแดนที่เอาจริงเอาจังกับความครีเอทีฟอย่างประเทศญี่ปุ่น มองว่าข้าวอาจเป็นได้มากกว่าสินค้าแต่คือศิลปะและชีวิตผู้คน โดยเขาได้นำสายพันธุ์ข้าวต่างชนิด มาเนรมิตรเป็นงานศิลปะอันน่าทึ่งสไตล์ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น ที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังชุบชีวิตเมืองเก่าไปพร้อมกัน
“ศิลปะอยู่ทุกที่ และทุกที่คือศิลปะ” เป็นวลีไม่เกินจริงสำหรับชาวเมืองอาโอโมริ ประเทศญี่ปุ่น ที่เขาผุดไอเดียสุดเจ๋ง ด้วยการนำภาพวาดจากผืนผ้าใบมาไว้ในนาข้าว แปลงโฉมท้องนาแสนธรรมดาให้กลายเป็นผลงานศิลปะไซส์ยักษ์ เชิญชวนเหล่านักท่องเที่ยวสายอาร์ตจากทั่วมุมโลกให้มาเห็นด้วยตาตัวเอง
"Tanbo Art" หรือ "Rice paddy art" คือการสร้างภาพขนาดมหึมาในทุ่งนา โดยมีข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นเม็ดสี และมีชาวนาในท้องที่เป็นพู่กัน ผลงานศิลปะนี้จะจัดขึ้นทุกปี ที่หมู่บ้านอินาคาดาเตะ จังหวัดอาโอโมริ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปะทันโบอันวิจิตรบรรจงอันดับหนึ่ง ท่ามกลางศิลปะทันโบ กว่า 100 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น
ก่อนเข้าสู่ที่มาของทันโบ ต้องย้อนกลับไปช่วงยุค 90 หมู่บ้านอินาคาดาเตะ เผชิญปัญหาครั้งใหญ่นั่นคือ คนหนุ่มสาวย้ายออกไปสู่สังคมเมืองจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในหลายประเทศ ที่ความเจริญในเมืองหลวง ความทันสมัย ความต้องการด้านแรงงานจะดึงดูดคนหนุ่มสาวในชนบทให้หลั่งไหลเข้าสู่ตัวเมือง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งปัญหาที่ตามคือ การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในชนบทต่ำลง ตรงกันข้ามกับเมืองหลวงที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เองรัฐบาลท้องถิ่นของอินาคาดาเตะ จึงคิดไม่ตกถึงวิธีการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น การสร้างงานสร้างอาชีพ เพื่อดึงดูดผู้คนกลับมาสู่ชุมชน
แต่เดิมหมู่บ้านอินาคาดาเตะ มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทำนาปลูกข้าวมานานถึง 2,000 ปี "ข้าว" จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ไปแล้ว ดอกไม้หรือเพลงประจำหมู่บ้านก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเมล็ดข้าวทั้งสิ้น จึงไม่แปลกใจเลยว่ามองไปทางไหนจะเห็นได้แต่ท้องนา ที่ดูไม่มีความพิเศษอะไร แต่ทว่าสิ่งธรรมดานี่แหละ คือสิ่งพิเศษที่สุดสำหรับผู้คนในอินาคาดาเตะ
ฤดูหนาววันหนึ่งในปี 1992 ผู้นำหมู่บ้านได้เรียกชาวบ้านมาร่วมระดมความคิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นว่า จะทำอย่างไรให้ผู้คนสนใจเข้ามาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ ชาวบ้านคนหนึ่งก็ได้ออกไอเดียขึ้นมาว่า เขาเคยเห็นนาข้าวในโรงเรียนประถมละแวกบ้าน ปลูกต้นข้าวสลับสีกันเป็นลายทาง มีทั้งสีเหลือง ม่วง และเขียว น่าสนใจทีเดียว "จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรานำต้นข้าวทั้งสามสี มาสร้างเป็นข้อความบนท้องนาบ้าง ?" ประกอบกับจังหวัดอาโอโมริขึ้นชื่อเรื่องการทำนา แถมยังมีข้าวหลากหลายสายพันธุ์ และให้สีเฉพาะต่างกันไป แม้ว่ายังไม่มีแนวคิดด้านศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ถือเป็นไอเดียที่ครีเอทีฟสุด ๆ ในยุคนั้น
Tanbo art เกิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1993 แม้ช่วงแรกจะพบกับความล้มเหลวบ้าง แต่หลังจากลองผิดลองถูกอยู่นาน ศิลปะบนนาข้าวก็ออกมาในแบบที่ควรจะเป็น จากภาพคำอวยพรง่าย ๆ ในแต่ละปีก็เริ่มมีความประณีต ซับซ้อน มีจินตนาการมากขึ้น
ทุกครั้งมีการวางแผนธีมไว้ล่วงหน้า 1 ปี และได้อดีตครูสอนศิลปะระดับไฮสคูล "อัตสึชิ ยามาโมโตะ" มาช่วยออกแบบอีกแรง ซึ่งเขาจะดูในส่วนการไล่ระดับสีและมุมมองของภาพ จากการประมวลผลภาพคอมพิวเตอร์ ที่มาจากภาพต้นฉบับ เช่น ภาพถ่ายหรือกราฟิกที่รายละเอียดสูง มีสีหลายร้อยหลายพันสี โดยจะถูกลดทอนให้เหลือประมาณ 3-7 สี พอดีกับต้นข้าวที่ใช้ปลูกในนาโดยเฉพาะ
ในเดือนมิถุนายน ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะมารวมตัวกันที่อินาคาดาเตะเพื่อเริ่มปลูกข้าวเป็นลวดลายต่าง ๆ ในช่วงแรกงานศิลปะอาจดูไม่เป็นรูปเป็นร่างนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงเดือนกรกฎาคม ต้นข้าวจะเติบโตกลายเป็นผืนผ้าใบสีเขียวขจี เมื่อถึงปลายเดือนสิงหาคม รวงข้าวจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง และกลางเดือนกันยายน ทั้งทุ่งก็จะกลายเป็นสีทองอร่าม เรียกได้ว่ามีความพิเศษต่างกันไปในแต่ละฤดู
ในการสร้างภาพในนาข้าว หัวใจสำคัญอยู่ที่สายพันธุ์ข้าวที่ให้สีแตกต่างกัน ช่วงแรกทันโบใช้ข้าวเพียงสามชนิด มีสามสี มาถึงวันนี้ใช้ข้าวทั้งหมดถึง 13 ชนิด ต่อผลงาน 1 ชิ้น โดยมีข้าวหลัก คือ ข้าวอาซายูกิ (Asayuki) ข้าวดั้งเดิมประจำจังหวัดอาโอโมริ, ข้าวเซเต็นโนะเฮคิเรคิ (Seiten-no-Hekireki) ข้าวสายพันธุ์ใหม่ ประจำจังหวัดอาโอโมริ ผสมกับข้าวสายพันธุ์โบราณ ที่ตอนนี้หาไม่ได้ตามท้องนาทั่วไป ทำใหท้องนามีตั้งแต่ต้นข้าวสีเขียว สีเหลือง สีขาวครีม สีแดงซีด และสีม่วงเข้ม โค้งงอไปตามสายลม สื่อถึงสีหน้าคน เสื้อผ้า และสิ่งอื่น ๆ ได้สมจริงยิ่งขึ้น
ปัจจุบันศิลปะทันโบในหมู่บ้านอินาคาดาเตะ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่า 170,000 คนในแต่ละปี ยังไม่รวมเม็ดเงินสนับสนุนอีกหลายล้านเยน ที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในหมู่บ้านให้ดียิ่งขึ้น นอกจากศิลปะในนาข้าวแล้ว ยังมี "โอฮากิ" ขนมขึ้นชื่อประจำจังหวัด ที่ทำจากข้าวโบราณหายาก มีความพิเศษตรงที่เมื่อหุงสุกจะมีสีม่วง ให้สัมผัสเหนียวนุ่ม เมื่อผสมกับถั่วแดงกวน จะให้รสชาติหวานหอม ซึ่งมีให้ลองชิมที่คาเฟ่ใกล้กันกับนาข้าว ยังไม่รวมกับสินค้าข้าวอื่น ๆ ที่สามารถทำรายได้ให้กับหมู่บ้าน ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ข้าวแล้ว ยังช่วยต่อลมหายใจให้ข้าวสายพันธุ์โบราณไม่ให้ถูกลืมไปอีกด้วย
ขนมโอฮากิ
นอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว ศิลปะบนนาข้าวในไทยยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง พบเห็นได้ที่ ต.หนองตะพาน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง หรือล่าสุดที่จังหวัดราชบุรี ที่เขานำข้าว 2 สายพันธุ์ นั่นคือ พันธุ์ชัยนาท 1 ลำต้นและกาบใบมีสีเขียวเป็นพื้นหลังของภาพ และพันธุ์ก่ำพะเยา ซึ่งให้สีดำตัดกัน
ปัจจุบันข้าวไทยมีความหลากหลายทั้งสีและกลิ่นแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการร่วมมือของกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่เห็นว่าข้าวไทยยังไปไกลได้อีก โดยเราจะไล่เรียงความพิเศษของสายพันธุ์ข้าวไทย ในอีกบทความถัดไป แต่หากใครไม่อยากรอสามารถเรียนรู้วิถีทำนา และการสร้างนาร้างให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ ได้ที่ รายการ มารีมาย มาเล่นกันเถอะ ตอน โรงเรียนชาวนา
ที่มา: สำนักข่าว ฺฺBBC , WIPO, Atlas obscura