ต้นปีการศึกษา 2568 หลักสูตรฐานสมรรถนะถูกนำไปใช้ใน 4,440 โรงเรียนนำร่อง แม้จะเริ่มต้นด้วยคำถาม และความไม่มั่นใจ แต่คุณครูหน้างานในโรงเรียนนำร่อง ก็จัดการเรียนรู้จนจบครึ่งทางแรกของเทอมที่ 1 ปีการศึกษานี้
ก่อนจะเข้าสู่ครึ่งทางหลังของปีการศึกษานี้ มีอะไรในห้องเรียนหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่คุณครูหน้างานอยากแบ่งปันเรื่องราว รวมทั้งส่งเสียงสะท้อนว่ายังมีโจทย์อะไรบ้างที่ต้องเร่งแก้ไข
ALTV ชวน 3 คุณครูจากจังหวัดขอนแก่น ชนกนาถ ชื่นมณี หรือ ครูอิ๋ว หัวหน้าวิชาการ โรงเรียนน้ำพอง โรงเรียนประจำอำเภอน้ำพอง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 139 โรงเรียนนำร่องของจังหวัดขอนแก่น และคุณครูจากโรงเรียนที่ยังไม่เข้าร่วมโรงเรียนนำน่อง แต่มีการจัดการเรียนรู้ ตามแนวทางหลักสูตรฐานสมรรถนะแล้ว คนแรกคือ เปี่ยมพร สุทินฤกษ์ หรือ ผอ.อิม ผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนมัญจาคริสเตียน โรงเรียนเอกชนจากอำเภอมัญจาคีรี และคนที่สอง สาธิตา ไพเราะ หรือ ครูแพร โรงเรียนบ้านนาฝาย โรงเรียนขนาดเล็กจากอำเภอกระนวน
บทความนี้ เรียบเรียงจากบทสนทนา Learning Talk ซีรีส์ ครึ่งทาง หลักสูตรฐานสมรรถนะ ผู้สนใจ สามารถฟังย้อนหลังทั้ง 3 EP ได้ที่ YouTube ALTV
(EP.1) ขอนแก่น ห้องเรียนฐานสมรรถนะ
(EP.3) หลักสูตรฐานสมรรถนะ ไปต่อแบบไหน? สู่เป้าหมายยกระดับการศึกษาไทย
เรื่องแรกที่เรียกว่าเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ ทั้งครูอิ๋ว และ ผอ.อิม มีประสบการณ์ร่วมกัน คือ เรื่องของ ครูแม่ ที่ต้องปรับตัวในห้องเรียนในหลักสูตรฐานสมรรถนะ ครูแม่ ในที่นี้คือ ครูที่มีอายุมาก เป็นผู้อาวุโส และมีประสบการณ์การสอนสูง โดยเฉพาะความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อเด็กในช่วงวัยนี้ หลายโรงเรียนระดับประถมศึกษา ให้คุณครูกลุ่มนี้สอนในระดับประถมศึกษาตอนต้น เพื่อให้ช่วยนักเรียนมีพื้นฐานแข็งแรง ก่อนที่จะขึ้นไปสู่การเรียนในเนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้นในช่วงประถมศึกษาตอนปลาย ที่สอนโดยครูที่จบตรงวิชาที่สอน
แม้คุณครูกลุ่มนี้จะมีพื้นฐานความรู้แข็งแรง แต่เมื่อต้องมาสอนในหลักสูตรฐานสมรรถนะที่มุ่งพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษา สื่อสาร การคิดคำนวณในระดับที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต และการทำงานในโลกยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งแตกต่างจากหลักสูตรเดิมที่คุ้นเคย ก็ทำหลายคนรู้สึก ยาก และกังวลใจ
หนทางที่จะช่วยคุณครูกลุ่มนี้ได้ ผอ.อิม ยืนยันว่า อาจต้องเริ่มจากตัวคุณครูเองก่อน โดยจากประสบการณ์ที่ ผอ.อิม เจอ พบว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณครูต้องพร้อมเปิดรับ และกล้าที่จะใช้เครื่องมือการเรียนรู้แบบใหม่นี้
“โชคดีที่โรงเรียนได้คุณครูที่กล้าเปิด กล้าที่จะทดลองใช้ แต่ถามว่ามีความกังวลไหม ที่คุยคือคุณครูกังวลมาก เพราะไม่เคยใช้แอปพวกนี้มาก่อน ก็เริ่มจากทำไม่เป็นจนถึงวันที่ต้องสอนแล้วคุณครูทำได้ เราก็ดีใจที่คุณครู ป.3 เป็นสายชั้นที่คุณครูอายุเยอะที่สุดในโรงเรียน แต่ว่าคุณครูยอมทำ พอคุณครูได้เริ่มทำ คุณครูก็สนุก คุณครูก็เรียนเหมือนเด็กเลย เรียนไปพร้อมกับเด็กๆ บางแอปก็เพิ่งมาใช้ตอนเห็นแผนการสอน”
การชวนครูแม่ๆ มาร่วมออกแบบหน่วยเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะด้วยกันตั้งแต่ต้น เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ ครูอิ๋ว หัวหน้าฝ่ายวิชาการ รร.น้ำพอง บอกว่า วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาให้กับคุณครูได้ เพราะการได้ออกแบบร่วมกันตั้งแต่ต้น ทำให้คุณครูผู้สอนเข้าใจ และรู้สึกร่วมกับเนื้อหาที่สอนได้มากขึ้น
“เราให้คุณครูที่จะเป็นผู้ใช้มาร่วมพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้น อยากสอนอะไร อยากออกแบบหน่วยแบบไหน มาคุยกันเลย เราเปิดห้องประชุมคุยกันทั้งหมด เราก็ให้คุณครูได้คุยกันเลยว่า คุณครูจะเอาแบบไหน ใครจะรับผิดชอบถึงส่วนไหน เพื่อที่ว่าเวลาที่คุณครูนำไปปฏิบัติ จะได้ไม่ยุ่งยากใจ ลดความยากลำบาก”
เพราะการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ คือการเรียนรู้แบบ Active Learning ทำให้ครูหลายคนคิดว่า ฐานสมรรถนะเท่ากับต้องสนุก ตามลักษณะของ Active Learning และพยายามคิดหาวิธีให้ทุกวันที่ต้องสอนตามหลักสูตรฐานสมรรถนะต้องสนุก แต่ ผอ.อิม มองว่า ไม่จำเป็น เพราะบางสมรรถนะอาจจะไม่สนุก แต่เด็กจำเป็นต้องรู้
“มันอาจจะไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่จะว้าวตลอดเวลา เลยต้องคอยบอกคุณครูว่า บางกิจกรรมไม่ต้องว้าวมากก็ได้ หมายความว่าอาจจะไม่ต้องอลังการงานสร้าง เช่น อาจเป็นแค่การแบ่งกลุ่มให้เด็กช่วยกันคิด กิจกรรมนี้อาจไม่สนุก แต่เสริมสร้างกระบวนการคิดร่วมกันเป็นทีม ซึ่งเป็นสมรรถนะที่เราอยากให้เด็กๆ ได้ และจริงๆ เด็กเขาก็อาจสนุกในมุมของเขา แต่ว่าคุณครูเองที่รู้สึกว่ามันจืด เมื่อคุณครูรู้สึกว่ามันไม่สนุก คุณครูก็จะไม่สนุกกับเด็ก”
ผอ.อิม ย้ำว่า ครูต้องปลดล็อคตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่ต้องพยายามทำให้สนุกทุกตอน เหมือนดูซีรีส์ก็ยังมีบางตอนเศร้า บางตอนเครียด และเมื่อใดที่คุณครูปรับความคิดได้ ก็จะเห็นว่าเด็กๆ สามารถทำได้เกินกว่าที่คุณครูคิด
แม้จะยังมีหลายโจทย์ที่ต้องแก้ไข แต่คุณครูทั้ง 3 คน เห็นตรงกันว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะ ยังต้องไปต่อ แต่ต้องแก้โจทย์ที่ยังติดค้างให้สำเร็จ
โจทย์แรกคือ ต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องการจัดกิจกรรม การวางแผน การประเมินผล และไม่ทิ้งกันระหว่างทาง เพราะถ้าหลักเกณฑ์ไม่ชัดเจน ก็จะเป็นปัญหากับโรงเรียนและครูที่กำลังเดินไปตามเส้นทางนั้น ความชัดเจนที่ว่านี้ รวมถึงเนื้อหาภายในหลักสูตร ไม่ใช่แค่บอกว่าหน้าปกคือฐานสมรรถนะ แต่เนื้อหาด้านในไม่ใช่
“ถ้าอยากให้กระบวนการเดิน มันต้องมีเสถียรภาพ เรารู้ว่าเด็กเราต้องเปลี่ยนเด็ก โลกมันเปลี่ยน เด็กต้องพัฒนา แต่ว่าการจะก้าวเข้าไปในจุดนั้น มันต้องใช้พลังงานสูง โรงเรียนอยากทำ โรงเรียนอยากไป แต่ว่าช่วยเราด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีโจทย์การประเมินเด็กย้ายกลางเทอม ระหว่างโรงเรียนนำร่องกับโรงเรียนที่สอนตามหลักสูตรเดิม ที่กำลังเป็นปัญหาหนักของคุณครูที่ต้องประเมินว่าจะใช้เกณฑ์ไหนในการ เนื่องจากไม่สามารถให้ระดับสมรรถนะกับเด็กที่ย้ายไปได้ เพราะโรงเรียนใหม่ที่เด็กย้ายไป ไม่มีหน่วยการเรียนรู้เหมือนโรงเรียนเดิม
การเทรนนิ่งครูให้พร้อมไปกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ ก็เป็นอีกโจทย์ที่ควรมี เพราะครูแต่ละคนก็จบมาจากแต่ละมหาวิทยาลัย ก็มีแนวทางไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องการจัดการเรียนการสอน การจัดทำแผนการสอน เมื่อต้องมาสอนตามหลักสูตรฐานสมรรถนะ ทำให้คุณครูที่ต่างที่มา มีความพร้อมไม่เท่ากัน
การมีเพื่อนร่วมคิดร่วมเดินไปด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คุณครูทั้ง 3 คน เห็นตรงกันว่า จะช่วยทำให้การเดินไปสู่เป้าหมายเป็นไปได้มากขึ้น เพื่อนร่วมคิดในที่นี้คือ เครือข่ายโรงเรียน ที่พร้อมจะสนับสนุน ช่วยเหลือ และเติมเต็มให้กัน
“ถ้าเรามีเฉพาะทีมวิชาการของเรานั่งคุยกัน มากสุดก็คือคนทั้งโรงเรียนเรา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่รู้ว่าข้างนอกเค้าทำกันแบบไหน เค้าคิดอะไรกันอยู่ แต่ถ้าเราจากน้ำพองนะ มาแชร์กับโรงเรียนนี้ 130 กว่าโรงเรียนหรือมากกว่านั้นด้วย โรงเรียนที่พร้อมที่จะไปด้วยกัน ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น เพราะว่าเราไม่ได้คิดคนเดียว เราก็มีเพื่อนร่วมคิด นอกจากร่วมคิดแล้วก็ยังช่วยกันทำ ช่วยกันทำแล้ว ถึงแม้อาจจะล้ม แต่เราก็ยังมีข้างๆ ดึงเราขึ้นพาไปด้วยกัน แล้วก็ยังแบบล้มก็ไม่เจ็บ ถ้ามีเพื่อนไปด้วย ก็เลยบอกว่าถ้าแบบเนี้ย การมีเครือข่าย ก็จะเป็นหนึ่งส่วนที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ได้”