การพักผ่อนที่ดี มีอะไรบ้างนะ ?
ในแต่ละวันที่ต้องเผชิญกับตารางชีวิตอันยุ่งเหยิง หลายคนคงเคยรู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากล้มตัวลงนอนให้หายเหนื่อย แต่บางครั้งการนอนหลับกลับไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเสมอไป แม้จะนอนเยอะขึ้นหรือเข้านอนเร็วกว่าปกติ ราวกับว่าต่อให้พักเท่าไรก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ
เครดิตภาพจาก drdaltonsmith.com
ดร. ซานดรา ดัลตัน-สมิธ (Saundra Dalton-Smith) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมและผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Sacred Rest: Recover Your Life, Renew Your Energy, Restore Your Sanity" ให้ข้อมูลที่น่าสนใจไว้ในหนังสือของเธอว่า แม้การนอนจะเป็นวิธีพักผ่อนที่สำคัญ แต่ร่างกายและจิตใจของเราอาจต้องการการพักผ่อนมากกว่านั้น เพื่อฟื้นฟูพลังงานที่เสียไปในมิติที่แตกต่างกัน
แบ่งประเภทของการพักผ่อนออกเป็น 7 แบบ หรือที่เรียกว่าแนวคิด "7 Types of Rest" เพื่อช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและภาวะหมดไฟ (Burnout) ได้
วิธีฟื้นฟูพลังงานร่างกายที่ขาดไม่ได้ คือการนอนหลับและการงีบหลับสั้น ๆ ทั้งนี้การพักผ่อนทางกายไม่จำเป็นต้องอยู่นิ่งเสมอไป แต่ยังรวมถึงการออกแรงเบา ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย เช่น การเล่นโยคะ การเดินช้า ๆ หรือการนวดคลายกล้ามเนื้อ กิจกรรมเหล่านี้ล้วนช่วยให้ร่างกายได้พักและฟื้นฟูได้มากขึ้น
การคิด วิเคราะห์ หรือจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน ล้วนใช้พลังงานและสร้างความเหนื่อยล้าได้ หากช่วงนี้รู้สึกหลงลืมง่ายหรือไม่มีสมาธิ อาจเป็นสัญญาณว่าความเหนื่อยล้าทางจิตใจกำลังถามหา
ดร. ซานดราแนะนำว่า ควรใช้เวลาสั้น ๆ ระหว่างวันสัก 30 นาทีเพื่อให้สมองได้หยุดพักจากการทำงาน เช่น การลุกออกจากโต๊ะไปเดินเล่นสั้น ๆ การพักสายตาจากโซเชียลมีเดีย หรือการจดบันทึกความคิด (Journaling) เพื่อจัดระเบียบความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ซึ่งจะช่วยให้สมองรู้สึกโล่งขึ้นได้
เราทุกคนต่างต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์ หรือความกดดันจากปัญหาส่วนตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้เราแบกรับความเครียดทางอารมณ์ไว้โดยไม่รู้ตัว
ดร. ซานดราแนะนำว่า การผ่อนคลายจากการแบกรับความรู้สึกไว้คือ "การซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง" อนุญาตให้ตัวเองเศร้า โกรธ หรือผิดหวังได้ และกล้าที่จะแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้สึกว่าขอบเขตส่วนตัวถูกรุกล้ำ
เราต่างถูกรบกวนจากแสง สี เสียง ในทุกวันโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นแสงสีฟ้าจากหน้าจอ เสียงการจราจร หรือข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก Sensory Rest จึงเป็นการพักประสาทสัมผัสจากการรับรู้สิ่งกระตุ้นต่าง ๆ โดยทำได้ง่าย ๆ คือการลดหรือหยุดรับสิ่งเร้าเหล่านี้ชั่วคราว เพื่อให้สมองได้พักการประมวลผล เช่น การออกไปเดินในสวนสาธารณะ หรือหาที่เงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง จะช่วยลดความเหนื่อยล้าทางจิตใจที่เกิดจากการรับข้อมูลที่มากเกินไปได้
การใช้เวลาทั้งวันเพื่อระดมความคิด หรือสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ สามารถสร้างความเหนื่อยล้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ความคิดเป็นเวลานาน
ลองพาตัวเองไปเจอกับสิ่งที่เติมเต็มความคิดสร้างสรรค์หรือสร้างแรงบันดาลใจ เช่น การออกไปสัมผัสธรรมชาติ การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรืองานแสดงศิลปะ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยผ่อนคลายและกระตุ้นจินตนาการได้ดี
หากช่วงนี้รู้สึกโดดเดี่ยว ขาดจุดมุ่งหมาย หรือชีวิตไร้ทิศทาง อาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องหันมาดูแลตัวเองจากภายใน โดยให้ความสำคัญกับ "คุณค่าภายในมากกว่าวัตถุภายนอก"
หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อาจหาเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อเชื่อมโยงกับความสงบภายในจิตใจ อย่างการทำสมาธิ การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือการทำกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับคุณค่าของตัวเอง ที่ทำแล้วนำมาซึ่งความรู้สึกภาคภูมิใจ
Social Rest ไม่ใช่การหลีกหนีผู้คน แต่เป็นการเลือกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สบายใจ และกล้าที่จะเว้นระยะห่างกับคนที่อยู่ด้วยแล้วได้รับพลังงานลบ หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ที่ส่งผลให้เกิดความเครียด
“การพักผ่อน” อาจไม่ใช่เพียงแค่การนอนหลับเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการดูแลร่างกายและจิตใจในด้านต่าง ๆ ด้วย ถ้าช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยหรือหมดไฟ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดูสิ รับรองว่าการพักผ่อนของคุณจะมีคุณภาพมากขึ้นและช่วยเติมพลังให้คุณกลับมาสดใสอีกครั้ง อย่าลืมนะว่าการดูแลตัวเองก็สำคัญไม่แพ้เรื่องงานเลย