โรคมาลาเรีย (Malaria) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ไข้จับสั่น” เป็นหนึ่งในโรคที่มี ยุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่ชื่อว่า “พลาสโมเดียม” (Plasmodium) มักพบการระบาดในประเทศเขตร้อน เช่น ทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ เอเซีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดน
ตามรายงานสถานการณ์มาลาเรียโลกล่าสุดใน ในปี พ.ศ. 2565 พบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อมาลาเรียทั้งหมดราว 247 ล้านราย และเสียชีวิตโดยประมาณ 619,000 ราย ส่วนมากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
ต้นกำเนิดของโรคมาลาเรียไม่ได้มีช่วงเวลาที่แน่นอน นักประวัติศาสตร์คาดว่าอาจเริ่มระบาดมาตั้งแต่สมัยอารยธรรมเมโสโปเตเมีย จากการพบแผ่นจารึกดินเหนียวที่บันทึกด้วยอักษรลิ่มเกี่ยวกับอาการไข้หนาวสั่นเป็นพัก ๆ เป็นระยะ (Periodic fevers) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการสำคัญของโรคมาลาเรีย
นอกจากนี้ ตามรายงานของ International Business Times ระบุไว้ว่าไข้มาลาเรียเคยระบาดหนักมาแล้วในช่วงยุคกรีกโบราณและยุคจักรวรรดิโรมัน โดยรู้จักกันในชื่อ “โรคไข้สี่วัน” (Quartan fever) ในสมัยนั้นเป็นโรคระบาดที่ไม่สามารถควบคุมได้และไม่มีใครทราบถึงสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ผู้คนเชื่อว่าเป็นโรคระบาดที่เกิดจากการดื่มน้ำตามหนองบึงที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ทำให้ในเวลานั้นมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากมาลาเรียหลายล้านคน ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มสันนิษฐานว่า ไข้มาลาเรียอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรโรมันอ่อนแอจนนำไปสู่ล่มสลายในเวลาต่อมา และกว่าเราจะรู้ว่า ‘ยุง’ คือพาหะนำโรคก็ล่วงเลยมาจนถึงศตวรรษที่ 18
ในอดีตไข้มาลาเรียถือเป็นโรคร้ายแรงที่ยากจะรักษา เพราะไม่มีใครทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคว่าเกิดมาจากอะไร ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1897 “โรนัลด์ รอส” (Ronald Ross) นายแพทย์ลูกครึ่งอังกฤษ-อินเดีย ได้ค้นพบว่า "ยุงก้นปล่องตัวเมีย" คือพาหะนำเชื้อมาลาเรียมาสู่คน
แต่ก่อนหน้าการค้นพบของรอส เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับมาลาเรียมาก่อน โดยนายแพทย์ ชาลส์ เลฟวแรน (Charles Leveran) ที่ค้นพบพลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งเป็นเชื้อปรสิตที่ก่อโรคมาลาเรียทั้งในคนและสัตว์ สามารถพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก และสัตว์เลื้อยคลาน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถหาตอบได้ว่าเชื้อชนิดนี้ติดต่อสู่คนได้อย่างไร
การค้นพบของรอสในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาแนวทางรักษาและวิธีการควบคุมโรคมาลาเรียมากขึ้นนั่นเอง
ไข้มาลาเรียเป็นโรคที่แพร่ระบาดในประเทศไทยมานานแล้ว โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่จังหวัดชายแดนที่รอบล้อมไปด้วยภูเขาสูง ป่าทึบ และแหล่งน้ำที่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของยุงก้นปล่อง โดยมีการกล่าวถึงไข้จับสั่นหรือมาลาเรียครั้งแรกในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจุบันยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขสำคัญของไทย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในไทยจะลดลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแต่ในระหว่าง ปี พ.ศ. 2565-2566 พบผู้ป่วยมาลาเรียมากถึง 2,500 ราย ซึ่งสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า และพบการระบาดมากสุดในจังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน และกาญจนบุรี
โรคมาลาเรียไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิตหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่การป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้ออาจเป็นการดีที่สุด โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการจัดเก็บบ้านให้สะอาด ปลอดโปร่ง นอนกางมุ้งและปิดหน้าต่างให้มิดชิด ใช้ยาจุดกันยุงหรือใช้ยาทากันยุง และกำจัดแหล่งน้ำขังเพื่อลดปริมาณยุงที่เป็นพาหะของเชื้อ