แทนที่จะใช้ชีวิตอย่างวัยรุ่นคนอื่นที่อยู่กับเพื่อน อยู่กับการเรียน อยู่กับกิจกรรมที่สนุก อยู่กับครอบครัวและความรักอย่างสมวัย ทำไมคนรุ่นใหม่บางคนถึงตัดสินใจเลือกเส้นทางแบบที่บางคนปรามาสว่า
“เอาอนาคตมาทิ้งแท้ ๆ”
“เมื่อคุณโกหกคนหนุ่มสาว คุณจะเจอการตอบโต้ของเราบนถนน เราเบื่อหน่ายมาก แต่ไม่ได้เบื่อหน่ายการลงถนน เราเบื่อคำโกหกที่ไม่หยุดหย่อนพวกนั้น” - ราเยน (ชิลี)
“คนหนุ่มสาวทุ่มเทมุ่งมั่นเต็มที่เมื่อพวกเขาร่วมประท้วงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ฉันอยากทำเพราะไม่บ่อยหรอกที่คนรุ่นฉันจะลุกขึ้นเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ”
“ฉันคงกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้ว ตั้งแต่เริ่มเข้ามาตรงนี้เราก็แบกความรับผิดชอบไปแล้ว เราย้อนกลับไม่ได้”
นี่เป็นสามเสียงของวัยรุ่นที่ถูกใช้เป็นบทเปิดสารคดีชื่อ “Dear Future Children”
พวกเขามาจากคนละมุมโลกแต่ต่างก็เลือกที่ก้าวออกมาเผชิญกับปัญหาตรง “แนวหน้า” ถ้ามองอย่างเร็ว ๆ อาจจะเห็นว่าพวกเขาพูดถึงประเด็นที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของชนชั้นแรงงานในชิลี ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษในยูกันดา ไปจนถึงปัญหาระบอบการปกครองในกรณีของจีนและฮ่องกง
แต่เมื่อคิดตามแล้วเรากลับพบว่าสิ่งแต่ละคนอธิบายออกมานั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากต่อการทำความเข้าใจหรือไกลตัวเลย เพราะทั้งสามหัวข้อสามารถซ้อนทับเทียบได้กับเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ในเมืองไทย และก็เป็นปัญหาที่ยังคงดำเนินไปในอีกหลายประเทศทั่วโลก เมื่อมันดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แล้วอะไรกันที่ทำให้คนธรรมดาอย่างพวกเขาตัดสินใจเอาชีวิตที่ง่ายกว่ามาแลกกับเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมหันต์?
“ถึงเยาวชนที่กำลังฟังฉันอยู่ ฉันอยากถามพวกคุณหนึ่งคำถาม คุณจะเรียนไปทำไมในเมื่ออนาคตยังไม่ชัดเจน?” – นาคาบูเย ฮิลด้า ฟลาเวีย (ยูกันดา)
คำถามนี้ทำให้เรากลับมาทบทวนกับตัวเองเลยว่า ถ้าสภาพบ้านเมืองที่เป็นอยู่มันทำให้เราคาดหวังสังคมที่มั่นคงไม่ได้ แล้วเราจะสร้างบ้านสร้างตัวไปเพื่ออะไร เราจะอยู่เพื่อพบเจอกับอนาคตแบบไหนกัน?
“ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ฉันอาจจะไม่พยายามมากพอ หรือเราอาจไม่เคยใช้วิธีเรียกร้องที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันฉันก็ไม่รู้ว่ามีวิธีอื่นไหมที่จะหยุดพวกเขาได้ ความเชื่อมั่นของฉันต่อสิ่งที่เราเรียกร้องยังไม่หายไปไหน แต่ว่าฉันคิดว่าความกลัวของฉันมากกว่าความเชื่อมั่นแล้วในตอนนี้ ฉันคิดว่าความกลัวคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของพวกเขา” - เพปเปอร์ (ฮ่องกง)
มากไปกว่าความรู้สึกเชื่อมโยงในปัญหาที่มีร่วมกันแล้ว การใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ออกมาประท้วง และการใช้อำนาจข่มขู่ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานายังคล้ายกันอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย
ความรู้สึกกังวลและสงสัยในตัวเองที่เกิดขึ้นตามมาย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไปไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็ยังคงเป็นมนุษย์...
ในแต่ละการรณรงค์และลงถนนก่อให้เกิดความสูญเสียตามมา ผู้เข้าร่วมการประท้วงถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม ถูกทำร้ายร่างกาย ทำให้เกิดความพิการถาวรณ์ไปจนถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเช่นในจัตุรัสดิกนิตีหนึ่งในพื้นที่ชุมนุมหลักในซันติอาโก ประเทศชิลี
ที่มีผู้ชุมนุมกว่าสี่ร้อยคนที่ต้องตาบอดเพราะถูกกระสุนยางจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนยิ่งใส่เข้าตรง ๆ ที่ใบหน้า ถึงกับเกิดคำกล่าวว่า
“Dignity here cost one eye.” แปลว่า “จตุรัสดิกนิตีแลกมาด้วยตาหนึ่งข้าง”
ซึ่งก็หมายถึงศักดิ์ศรีของผู้ออกมาเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองนั้นต้องแลกมาด้วยการสูญเสียดวงตาไปนั่นเอง...
สำหรับเรามันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่หากต้องการกำราบประชาชนที่เห็นต่างแล้วล่ะก็ การใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่อย่างไม่มีขอบเขตนั้นกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เสมอ
แต่เราก็คิดสงสัยอีกเช่นกันว่า ระหว่างผู้ที่ไปแสดงออกและเรียกร้องสิทธิ์ จ้องตากับอำนาจจนต้องบาดเจ็บถึงกับตาบอดไปข้างหนึ่ง กับอีกหลายคนที่ยังหลีกเลี่ยงไม่เพียงจากวิถีกระสุนยางแต่เบี่ยงหน้าทำเป็นว่ามองปัญหาไม่เจอนั้น การมองโลกแบบไหนมันน่าเศร้ากว่ากัน?
สามารถชมสารคดีเรื่อง “Dear Future Children” <<คลิก ได้แล้ววันนี้ ทาง vipa.me ค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบจาก vipa.me
เรื่อง : พัดชา เอนกอายุวัฒน์ // ภาพประกอบ : ณภัค ภูมิชีวิน