การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บตรงสถานที่เกิดเหตุ โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น ก่อนที่ผู้บาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยชีวิตลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วย บรรเทาความเจ็บปวดทรมาน และช่วยให้กลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว ป้องกันความพิการที่จะเกิดขึ้น ก่อนส่งถึงแพทย์หรือสถานพยาบาล
หน้าที่ของผู้ปฐมพยาบาล คือการวิเคราะห์สาเหตุและความรุนแรงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยเหลือได้ถูกต้อง ซักประวัติของอุบัติเหตุ จากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หรือผู้บาดเจ็บที่รู้สึกตัวดี ซักถามอาการผิดปกติหลังได้รับอุบัติเหตุ ตรวจร่างกายผู้บาดเจ็บทุกครั้งก่อนให้การปฐมพยาบาล โดยตรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น อาการบวม บาดแผล กระดูกหัก
ลำดับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หากผู้บาดเจ็บอยู่ในบริเวณที่มีอันตรายต้องเคลื่อนย้ายออกมาก่อน โดยจะตรวจดูลักษณะการหายใจว่ามีการอุดตันของทางเดินหายใจหรือไม่ หัวใจหยุดเต้นหรือไม่ ใช้วิธีการสังเกตความผิดปกติของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หากมีกระดูกหักต้องเข้าเฝือกก่อน เพื่อมิให้มีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อมากขึ้น กรณีมีบาดแผลต้องคลุมด้วยผ้าสะอาด เพื่อป้องกันฝุ่นละอองเข้าไปทำให้ติดเชื้อ หรือกรณีต้องเคลื่อนย้ายจะต้องให้แนวกระดูกสันหลังตรง โดยนอนราบบนพื้นไม้แข็ง มีหมอนหรือผ้าประคองศีรษะมิให้เคลื่อนไหว
การช่วยเหลือต้องจัดให้ผู้บาดเจ็บอยู่ในท่าที่เหมาะสมสำหรับการปฐมพยาบาล เช่น ท่านอนหงายและทางเดินหายใจโล่ง พร้อมทั้งสังเกตอาการต่างๆ ของผู้บาดเจ็บ และวางแผนการให้การช่วยเหลืออย่างมีสติ ไม่ตื่นเต้นตกใจ สังเกตสิ่งแวดล้อมว่ามีสิ่งของอันตรายอยู่ใกล้เคียงหรือไม่ บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ อาการ ลักษณะของผู้บาดเจ็บเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลที่ได้ทำลงไป พร้อมทั้งนำติดตัวไปกับผู้บาดเจ็บเสมอเพื่อประโยชน์ในการรักษาต่อไป อย่าทำการรักษาด้วยตนเอง
“ชุดปฐมพยาบาล เป็นอุปกรณ์เบื้องต้นสำหรับช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นสิ่งจำเป็นยามเดินทาง เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ดังนั้นการเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยชุดปฐมพยาบาลควรเก็บไว้ในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดได้สนิทหรืออุปกรณ์ที่กันน้ำ และอาจติดหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินของหน่วยงานต่างๆ ไว้ด้วย นอกจากนี้อาจจดข้อมูลทางการแพทย์ของคนในครอบครัว เช่น หมู่เลือด ยาที่แพ้ และโรคประจำตัว”
สิ่งที่บรรจุอยู่ในชุดปฐมพยาบาล ประกอบด้วย ชุดอุปกรณ์ทำแผล และยารักษาโรคเบื้องต้น อาทิ ถุงมือ- สำหรับผู้ช่วยเหลือ เพื่อป้องกันผู้ช่วยเหลือสัมผัสเลือด อาเจียน สารคัดหลั่งต่างๆ ยาล้างแผล เช่น แอลกอฮอล์ ยาฆ่าเชื้อ ผ้าทำแผล หรือผ้าก๊อซ ขนาดต่างๆ โดยหากแผลมีเลือดออกมากให้ปิดทับหลายๆแผ่นเพื่อห้ามลือด พลาสเตอร์เทปปิดแผลขนาดต่างๆใช้สำหรับปิดแผลหลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว กรรไกร ใช้ตัดผ้าก็อซหรือตัดผ้าหรือขากางเกง
เทปติดแผล ผ้าปิดตาใช้สำหรับการบาดเจ็บที่นัยน์ตา เข็มกลัด ผ้าคล้องคอ ผ้ายืด สำลี ไม้พันสำลี ใช้สำหรับทายาล้างแผลรอบๆ แผล ผ้ายืด ใช้สำหรับพันเมื่อเกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ข้อ เพื่อลดการบวม ลดการเคลื่อนไหว หรือใช้พันยึดกับอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อดามกระดูก ผ้ายืดยังสามารถนำมาพันทับผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ติดแผลเพื่อห้ามเลือด รวมถึงยาฉุกเฉินสำหรับรับประทาน โดยกล่องบรรจุยานี้ต้องปิดมิดชิด และ มีข้อความระบุข้างกล่องชัดเจนว่า เป็นยาสำหรับรับประทาน ควรมียาเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อาทิยาลดไข้แก้ปวดผงเกลือแร่สำหรับการบาดเจ็บที่มีการเสียเลือดมาก หรือบาดแผลพุพองจากความร้อนที่มีบริเวณกว้าง หรือผู้ที่มีอาการอาเจียนและท้องเสียA
อุปกรณ์อีกชิ้นที่มีความสำคัญ ผ้าห่มฉุกเฉิน เป็นแผ่นพลาสสติกเคลือบฟิล์มอะลูมิเนียมแบบบาง เป็นฉนวนกันน้ำ กันรังสี และป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายได้ถึง 90% อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา ขนาดกว้าง พับเก็บง่าย ด้วยคุณสมบัติหลายประการ ประโยชน์ในการใช้ผ้าห่มฟอยล์หรือผ้าห่มฉุกเฉินให้ความอบอุ่น กันน้ำ กันแดด ใช้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ในกรณีที่ติดอยู่ในสภาพที่หนาวเย็น อุณหภูมิในร่างกายลดลงต่ำเรื่อย ๆ ผ้าห่มฉุกเฉิน จะเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตและเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายได้ในทันที
นอกจากนี้ หลายคนอาจเข้าใจว่า ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรืออาการหยุดหายใจ มักพบได้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือผู้ป่วยวิกฤติ หรือมีอาการโคม่า แต่จริง ๆ เราสามารถพบภาวะเหล่านี้ได้ในอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เช่น การจมน้ำ สำลักอาหาร สูดควันไฟเข้าไปมาก ไฟฟ้าดูด ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการ CPR โดยเร็ว หากพบผู้ที่หยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น
การทำ CPR หรือ Cardiopulmonary Resuscitation คือปฏิบัติการปั๊มหัวใจ เป็นการปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิต มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผู้ป่วยหยุดหายใจกะทันหันหรือหัวใจหยุดทำงาน เช่น หัวใจวาย จมน้ำ หรือขาดออกซิเจนนาน ซึ่งเป็นภาวะที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองอย่างถาวรภายใน 4 นาที และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในเวลา 8-10 นาที การปั๊มหัวใจจึงอาจช่วยยื้อเวลาและช่วยฟื้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดที่หยุดกะทันหัน ทำให้หัวใจกลับมาเต้นได้ตามปกติอีกครั้ง จนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์
วิธีการปั๊มหัวใจ ผู้ป่วยต้องอยู่ในลักษณะท่านอนหงายราบบนพื้นแข็ง ห้ามใช้หมอนหนุนศีรษะผู้ป่วยเด็ดขาด ผู้ช่วยเหลืออยู่ในท่าคุกเข่านั่งใช้นิ้วคลำหาส่วนปลายของกระดูกหน้าอก ซึ่งอยู่บริเวณกระดูกซี่โครงบรรจบกัน ให้วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ ใช้สันมือข้างที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว และใช้ส้นมือข้างที่ถนัดวางทับลงไปประสานกันไว้ ผู้ช่วยเหลือเริ่มกดหน้าอก โดยให้ยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยน้ำหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสอง ลงไปสู่กระดูกหน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของผู้ป่วยผู้ใหญ่และเด็กโต กดลงไปลึกประมาณ 1.5-2 นิ้ว ในแนวดิ่ง โดยปั๊มในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที ปั๊มหัวใจไปเรื่อย ๆ จนกว่าหน่วยฉุกเฉินจะเดินทางมาถึง
ส่วนการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอื่นๆ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น กรณีบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกจากอุบัติเหตุ อาการบาดเจ็บจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นกับหลายปัจจัย เบื้องต้น ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ จากนั้นซับด้วยผ้าแห้งสะอาด สังเกตว่าถ้าผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส ควรรีบไปพบแพทย์ ไม่ควรใส่ตัวยาใดๆ ทาลงบนบาดแผล หากไม่แน่ใจในสรรพคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อบาดแผล เพิ่มโอกาสการเกิดบาดแผลติดเชื้อ
การปฐมพยาบาลหกล้ม อาจมีแผลถลอกที่บริเวณหัวเข่า ข้อศอก แผลลักษณะนี้จะมีผิวหนังลอกหลุด มีเลือดออกเล็กน้อย อาจมีสิ่งสกปรกที่แผล หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการติดเชื้อมีหนอง การปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนพบแพทย์ จึงต้องล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อให้สิ่งสกปรกออกให้หมด ใช้ผ้าสะอาดกดแผลห้ามเลือดให้หยุดไหล ใส่ยาสำหรับแผลสด ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าสะอาด